จับตา “ว่าที่มรดกโลก” “เขาพระวิหาร” “เผือกร้อน” ไทย-เขมร
ขณะที่ไทยเห็นว่าควรเป็นพื้นที่มรดกโลกร่วมกัน…
พื้นที่ “เขาพระวิหาร” ปัจจุบันนั้นอยู่บริเวณรอยต่อของสองประเทศ อยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ด้าน จ.พระวิหารของกัมพูชา ส่วนฝั่งไทยอยู่ติดกับชายแดนด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นที่ตั้งของ “ปราสาทหินโบราณ” เป็นปราสาทขอมที่สำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และแหล่งท่องเที่ยว
จากปัญหาความไม่ชัดเจนในเขตแดนปักปันระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้บริเวณพื้นที่นี้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างกัน จนในปี 2502 เจ้านโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ได้ยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
15 มิ.ย. 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้โบราณสถานดังกล่าวตกเป็นของกัมพูชา ทำให้ไทยจำต้องยอมเสียดินแดนบางส่วนไปตามคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งภายหลังคำตัดสินไทยได้ปิดทางขึ้นในฝั่งไทย ส่งผลให้การขึ้นไปของนักท่องเที่ยวต้องใช้บริเวณที่เรียกว่าช่องบันไดหัก ซึ่งแคบและสูงชันอันตราย แต่ตลอดระยะเวลาก็มีความพยายามประสานรอยร้าวในเรื่องนี้อยู่เรื่อย ๆ มีการเปิด-ปิดทางขึ้นเขาพระวิหารอยู่เป็นระยะ
กล่าวได้ว่าการท่องเที่ยวเขาพระวิหารแห่งนี้ขึ้นกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ สองประเทศ ซึ่งก็มีการทำความตกลงครั้งสำคัญ ๆ อาทิ… ครั้งที่ 1 ปี 2535 มีการลงนามเอ็มโอยูที่จะกำหนดว่าห้าม 2 ฝ่ายเปลี่ยนแปลงแก้ไขสภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณชายแดน อันจะส่งผลให้เส้นเขตแดนเปลี่ยนแปลงไป
ครั้งที่ 2 ปี 2545 มีการทำเอ็มโอยูโครงการสำรวจและจัดทำหลักเขตไทย-กัมพูชาที่ระบุถึงการอำนวย ความสะดวกการสำรวจตลอดแนวเขตแดน ทางบก, ครั้งที่ 3 ปี 2547 มีมติร่วม ครม. ไทย-กัมพูชา เห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารเพื่อประโยชน์ร่วมกันด้านการท่อง เที่ยว-ศึกษาประวัติ ศาสตร์ ทั้งยังกำหนดให้มีการดำเนินการเสนอเขาพระวิหาร “เป็นมรดกโลกร่วมกัน” ด้วย แต่ล่าสุดดูจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ??
การเสนอชื่อเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเคยมีการดำเนินการแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยูเนสโกได้เลื่อนการพิจารณา โดยขอให้สองประเทศหาข้อยุติระหว่างกันให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยนำเสนอในการประชุมในเดือน มิ.ย. 2551 อย่างไรก็ตาม เมื่อกลางเดือน ก.ย. มีรายงานว่ายูเนสโกได้ส่งเจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศส 2 คนมาตรวจสอบข้อมูลสถานที่ เขตแดน และสภาพแวดล้อมของปราสาทเขาพระวิหารแล้ว อันเป็นขั้นตอนเตรียมขึ้นทะเบียน
กับเรื่องนี้ทางฝ่ายไทย คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกที่มี ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ เป็นประธาน มองว่า… จะไม่สมเหตุผลตามหลักวิชาการของการเป็นพื้นที่มรดกโลก ถ้ามีการเสนอเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตกัมพูชา เนื่องจากองค์ประกอบสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ อาทิ ปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว และโบราณสถานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อยู่ในฝั่งไทย ถ้าจะให้เกิดความสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ และหลัก ประวัติศาสตร์ของเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ต้องรวมองค์ประกอบทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน
“กรณีนี้ควรประกาศเป็นพื้นที่มรดกโลกร่วมกัน เพราะต้องมีการทำแผนอนุรักษ์และจัดการพื้นที่ หากได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นมรดกโลก เพราะต้องมีการทำเขตกันชนพื้นที่มรดกโลกระหว่างกัน โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีความพยายามทางการทูต แต่กัมพูชาไม่หารือกับไทย แต่อยู่ ๆ ทำเรื่องเสนอเข้าไปอีก ครั้งนี้ไทยเราก็คงไม่ยอม” …ศ.ดร.อดุลระบุถึงเหตุผลการทักท้วงของฝ่ายไทย
ขณะที่ ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงทรรศนะว่า… เรื่องนี้ไม่น่าจะขยายวงความขัดแย้งเหมือนเช่นที่เคยเกิด น่าจะพูดคุยตกลงทำความเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันจากพื้นที่นี้ ทั้งไทยและกัมพูชาต้องไม่มองให้เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ควรมองในแง่ของความเป็นวัฒนธรรมมากกว่า ไม่จำเป็นที่ไทยและกัมพูชาจะต้องเดินตามที่กฎหมายขีดเส้นกำหนดไว้ว่า พื้นที่นี้ของไทย-พื้นที่นี้ของกัมพูชา เพราะวัฒนธรรมนั้นไม่มีการขีดเส้นอยู่แล้วว่าจำกัดแค่พื้นที่ไหน โดยถ้าทำตามกรอบนี้ได้ก็จะช่วยให้บรรยากาศโดย รวมดีขึ้น เกิดการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลดีแน่นอน
“มีแต่ข้อดีแน่หากพื้นที่เขาพระวิหารได้เป็นมรดกโลก โดยเฉพาะ เรื่องเศรษฐกิจ การศึกษา รวมถึงวัฒนธรรม หากมีการเปิดโต๊ะพูดคุยกันจริง ๆ คิดว่าฝ่ายกัมพูชาเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเศรษฐกิจของเขาก็ผูกพันอยู่กับประเทศไทย ฝ่ายกัมพูชาก็ควรจะยกเครดิตบางด้านให้ไทยมาก ขึ้น แต่ไทยเองก็ต้องยอมรับว่าเขาพระวิหารเป็นสมบัติของเขา อย่าพยายาม ยกข้อกฎหมายมาหักล้าง แต่ควรชี้เหตุผลในเรื่องความเชื่อมโยงทางวัฒน ธรรมระหว่างกันจะดีที่สุด” …ผศ.ดร.วิบูลพงศ์เสนอแนะ
จะเป็นผลดีแน่หาก “เขาพระวิหาร” ได้เป็น “มรดกโลก” แต่ไม่ดีแน่หากต้องเกิดกรณี “พิพาทไทย-กัมพูชา” ขึ้นอีก เรื่องสำคัญเรื่องนี้จะสรุปอย่างไร ?? ต้องติดตาม…
Leave a comment